ว่าด้วยเรื่องของการล่าแม่มด
สวัสดีครับ ผมกลับมาแล้วครับ วันนี้ผมจะมาพูดคุยเรื่องเนื้อเรื่องที่ผมปูไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยว่ามันมีอะไรบ้างในเรื่อง Fantasy Warfare
อย่างที่ผมบอก เอกภพของเรามีหลากหลายเอกภพ และเอกภพนึงมีหลายโลก และโลกนึงมันมีหลายมิติ ฉะนั้นแต่ละเรื่องราวก็จะไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นมาเริ่มตรงยุคนี้ดีกว่า : “ยุคสร้างเอกภพ”
ยุคสร้างเอกภพ เป็นมหายุคหนึ่งที่เทพเจ้าและเทพีทั้งหมดในหลากหลายสาขามาดูแลและสร้างเอกภพและโลกทั้งหมดให้ พร้อมกับเปิดประตูมิติไปยังโลกแห่งความจริง หรือที่เรียกว่า “โลกสามมิติ” นั่นเอง
มนุษย์ในเอกภพต่าง ๆ จะถูกเรียกว่า “ฮิวแมนิค (Humanic)” แต่มนุษย์ในโลกสามมิติถูกเรียกว่า “อัน-แฟนทาสต์ (Un-Fantast)”
ซึ่งในยุคสร้างเอกภพ ถ้าผมจำไม่ผิด มันจะตรงกับยุคกลางของชาวยุโรป และพวกฮิวแมนิคได้ไปตั้งถิ่นฐานในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือสมัยนั้นด้วย และแถมยังมีพวกฮิวแมนิคจำพวกมีเวทมนตร์ด้วยนะ ประกอบกับอัน-แฟนทาสต์ในขณะนั้นเจอวิกฤติกลัวแม่มดมาก จึงกลายเป็นการล่าแม่มดไปด้วย
ในวิกิพีเดีย ได้อธิบายคำว่า “การล่าแม่มด” ว่า :
“การแสวงหาบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘แม่มด’ หรือหลักฐานแม่มด”
และถ้าจะเน้น ๆ เรื่องปีคริสต์ศักราช ถ้าจะให้ชัดเจนก็ช่วงปลาย 1400 กว่า จนถึงประมาณ 1700 กว่า ๆ นะครับ
ใช่ครับ! พวกฮิวแมนิคดันมาตั้งถิ่นฐานในยุโรปและอเมริกาเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 -17! เลยมีการล่าแม่มดเกิดขึ้น!
ในสมัยนั้นใครที่อยู่แถวยุโรป อะไร ๆ ก็เป็นความผิดของแม่มด โดยพวกที่จับมาก็ไม่ใช่ใครอื่นครับ “แพะ” นั่นเองครับ
สมัยนั้นนี่ไม่มีใครสนแล้วครับว่าจับได้หญิงอัน-แฟนทาสต์ จับได้แม่มดในโลกสามมิติ จับได้หญิงฮิวแมนิค ไม่สนแล้วครับ ใครรูปลักษณ์ผิดปกติไปจากคนทั่วไป จับตายสถานเดียวครับ
สมัยนั้นทุกคนแทบจะเข้าใจว่า “แม่มด” คือหญิงแก่อัปลักษณ์ และอาจจะเป็นหญิงสาวสวยงามผิดปกติด้วย เพราะเชื่อว่าสิ่งที่แม่มดต้องการ คือ “ความสวยงาม” และได้เอาวิญญาณแลกเข้าสิงกับเรือนร่างอันงดงาม
ยุโรปและอเมริกาเหนือในยุคกลาง ชาวฮิวแมนิคเรียกยุคนั้นว่า “ยุคอำมหิต” “ยุคมรณะ” หรืออะไรก็ได้ที่มันให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวนั่นละครับ พวกอัน-แฟนทาสต์ที่นับถือศาสนานี้ อ้างว่าตนเองเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้า มีความเมตตากรุณาในใจ แต่ในสมัยนั้น มันคนละอย่างกันเลย ศาสนจักรในยุคนั้นป่าเถื่อนและวิปริตผิดมนุษย์
จนถึงตอนนี้ ไม่ปรากฏว่า แม่มดในโลกสามมิติเคยทำร้ายคนจริง ๆ นอกจากหลักฐานในคำสารภาพของ “แพะ”
ทีนี้ ผมจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกทีในบทต่อไปแล้วกันนะครับ