ตอนที่เจ็ด : งานเข้าแล้วเอ็ดมันด์…
ขอเล่าถึงเอ็ดมันด์เถอะ
ถึงตรงนี้แล้วอย่าคิดดว่าตอนนี้เอ็ดมันด์ชั่วร้ายจนอยากให้พี่น้องและไตรวีรบุรุษกลายเป็นหิน เอ็ดมันด์อยากได้ขนมหวาน (เลี่ยน — ในความคิดของพวกไตรวีรบุรุษ) ชื่นใจเทอร์คิช ดีไลท์ อยากเป็นเจ้าชาย (และพระราชาในอนาคต) ส่วนนางแม่มดจะทำอะไรพวกที่เหลือ เอ็ดมันด์ไม่อยากให้นางทำดีต่อพวกนั้นเท่าที่นางดีต่อเขา แต่เอ็ดมันด์บอกตัวเอง หรือปั่นหัวตัวเองในมุมของคุณ ว่านางแม่มดคงไม่ทำอันตรายต่อพี่น้องของเขาและพวกที่มาด้วยมากนัก
‘พวกที่เล่าเรื่องนางเป็นศัตรู ไม่ชอบนางอยู่แล้วกันทั้งนั้น‘ เอ็ดมันด์ปั่นหัวตัวเอง ‘มีหวังที่เขาพูด ๆ กันน่ะ เชื่อไม่ได้ นางดีต่อเรานี่นา ดีกว่าพวกนั้นเสียอีก นางคงจะเป็นราชินีที่แท้จริง ถึงอย่างไรนางก็ต้องดีกว่าแอสลานอะไรนั่นเป็นแน่‘
คือเขาชอบหลอกตัวเองแต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ว่านางแม่มดโหดร้ายทารุณอย่างยิ่งมาก
เอ็ดมันด์เดินฝ่าหิมะตกอยู่ตามลำพังในความมืดและแทบทนทุกข์ทรมานมาก ทั้งกระแทก ทั้งล้ม ทั้งลื่น (อะไรจะยุ่งยากปานนั้น ถ้าคุณถามอย่างนี้ผมจะบอกว่าหิมะมัน ‘หนาสะใจมาก‘ มองอะไรก็แทบไม่เห็นแล้ว) ระหว่างนั้นก็ปลอบตัวเองว่า ‘ไว้ให้เราได้เป็นพระราชาแห่งนาร์เนียก่อนเถอะ สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือสร้างถนนอย่างดีที่สุด‘ ทำให้เขาฮึดสู้ และก็คิดถึงแต่การเป็นพระราชาของเขา
ไม่นานก็มีพระจันทร์เต็มดวงส่องแสง
แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เอ็ดมันด์พาตัวเองเดินทางไปอย่างทุลักทุเล สุดท้ายได้มาเจอปราสาทของแม่มดแล้ว เอ็ดมันด์หาทางเข้าไปก็พบประตูบานใหญ่เปิดอ้า เขาเดินอย่างเดียบกริบไปข้างใน ดูลานปราสาท ก็เจอกับรูปปั้นสิงโตหินหมอบอยู่ในท่าเตรียมกระโจน เอ็ดมันด์สะดุ้งโหยงและกลัวตัวสั่นเป็นชั่วโมง ๆ แต่แล้วก็พบว่าหินก็ยังเป็นหินอยู่วันยังค่ำ ไม่ใช่หินมีชีวิตสักหน่อยแล้วก็เจอกับรูปปั้นคนแคระหินอีกแน่ะ พอดีก็นึกขึ้นได้ว่านางแม่มดสาปใครก็ตามให้เป็นหินหมด สุดท้ายเอ็ดมันด์ก็เลิกกลัวสิงโตหินนี้ แล้วก็คิดว่า ‘บางทีสิงโตใหญ่ตัวนี้ละกระมังที่ชื่อแอสลานที่พวกนั้นพูดถึงกัน — นางจับแอสลานได้แล้ว และสาปให้เป็นหิน — ความหวังอย่างใหญ่โตขอพวกนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว ไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลยแอสลานนี่‘ เอ็ดมันเยาะเย้ยสิงโตหินแล้วก็เอาดินสอดำที่เขาพกไปมาวาดหนวดกับแว่นตาบนหน้าสิงโตหิน
“เจ้าแอสลานเฒ่า! โง่ไม่ได้ความ เป็นหินแบบนี้ชอบไหมล่ะ! นึกว่าตัวเองเก่งเสียเต็มที่ละสิ” เอ็ดมันด์เย้ยสิงโตหิน แต่เจ้าตัวสิงโตยังนิ่ง และเอ็ดมันด์ก็หมดสนุกจึงมองไปรอบ ๆ และก็เห็นรูปปั้นหินอีกเพียบ
เซเทอร์หิน หมาป่าหิน หมีหิน จิ้งจอกหิน เสือดาวภูเขาหิน นางไม้หิน (นางไม้ก็เหมือนผู้หญิงละแต่เป็นนางไม้กึ่งเทพ) เซนทอรร์หิน เพกาซัสหิน และก็มังกรหิน ทั้งหมดดูอัศจรรย์เมื่อยืนอยู่ในท่าเหมือนกำลังจะเคลื่อนไหวแต่นิ่งเฉยอยู่ใต้แสงจันทร์ ส่วนตรงกลางมียักษ์หินลักษณะเหมือนคน
ผ่านไปจากลานรูปปั้นหิน ก็คือทางเข้า ซึ่งมีหมาป่าใหญ่นอนขวางธรณีประตู (นี่ละมอกริม! ผบ.ตร. ลับของจาดิส!) แต่เพราะความเข้าใจไปเองของเอ็ดมันด์ ที่ว่ายังไงก็ยังเป็นหินอยู่ดี ตอนจะเดินข้ามเท่านั้นละมอกริมก็ตื่นทันทีและคำราม
“อย่าขยับ! บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร!“
“ได้โปรด ข้าพเจ้าชื่อเอ็ดมันด์ เป็นบุตรแห่งอดัมที่พระราชินีเคยพบในป่าเมื่อวันก่อน ข้าพเจ้ามาบอกว่าพี่ ๆ และน้องของข้าพเจ้า รวมถึงเหล่าไตรวีรบุรุษมาถึงนาร์เนียแล้ว อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง — ที่บ้านของบีเวอร์ พระราชินีต้องการจะพบพวกเขา” เอ็ดมันด์พูดน้ำเสียงสั่น ๆ จนแทบจะไม่เป็นภาษา
“ข้าจะไปบอกพระราชินีเอง ระหว่างนี้หากเจ้ายังรักชีวิตอยู่ละก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่ประตูนี่ละ” หมาป่ามอกริมพูด แล้วก็พุ่งหายไปในปราสาท
ครู่ต่อมามอกริมก็กลับมาและบอกว่า
“เข้ามาได้แล้ว เจ้าโชคดีได้เป็นที่โปรดปรานของพระราชินี…หรือจะเป็นโชคร้ายของเจ้าก็ไม่รู้สิ”
ปรากฏว่าพอมาพบจาดิสซึ่งในห้องของนางก็มีรูปปั้นหินอยู่เยอะแยะเหมือนกัน และก็มีรูปปั้นฟอนที่คาดว่าคงเป็นทัมนัส ก็เท่านั้นละจาดิสโกรธมากที่ไม่ได้พอเพียง ภัททิต้า เจซซี่ และพรรคพวก หรืออย่างน้อยก็แม้กระทั่งปีเตอร์ ซูซาน และลูซี่เลย
ก็นั่นละครับเอ็ดมันด์ก็บอกว่าพวกเขาอยู่ในบ้านเขื่อนของบีเวอร์และก็เล่าเพิ่มเติมถึงเรื่องที่บีเวอร์เล่าให้เขาฟังก่อนจะหนีออกไปพบจาดิส
“หา! แอสลานรึ!” จาดิสร้อง “แอสลาน? เป็นความจริงรึนี่ ถ้าหากข้ารู้ว่าเจ้าโกหกข้าละก็…”
“ได้โปรดเถิดพะยะค่ะ” เอ็ดมันด์ตะกุกตะกัก “ข้าพเจ้าเล่าตามที่ได้ยินมาเท่านั้นเอง”
งานเข้าแล้ว แม่มดปรบมือเรียกคนแคระและสั่งให้เอาเลื่อนที่ไม่มีกระดึงติดมาแล้วเรียบร้อย…