ตอนที่สิบสี่ : ปาฏิหาริย์ก่อนอรุณรุ่งแห่งกาลเวลา!
เมื่อสาวน้อยทั้งเก้าหันมายังโต๊ะหินอีกทีก็พบว่ามีใครคั่นกลางขวางไว้ระหว่างร่างแอสลานที่ตาย กับนางแม่มดจาดิสที่ประหลาดใจมาก
ฮีโร่บรายน์นั่นเอง เขาทนดูไม่ได้เหมือนกับสาว ๆ ทั้งเก้าที่ต้องเห็นแอสลานตายไปอย่างสูญเปล่า มันต้องมีการแลกมาด้วยการตายของนางแม่มดด้วย
“แก–ไม่–สมควร–ไม่มีวัน–ได้–แตะต้อง–นาร์เนีย–เป็นอันขาด!” ฮีโร่บรายน์คำรามเสียงเล็ดลอดไรฟัน “ถ้า–แก–คิด–จะ–แตะต้อง–ละก็–แก–ต้อง–ข้าม–ศพ–ฉัน–ไป–ซะก่อน!“
จาดิสดูโกรธเช่นกันที่แผนที่อุตส่าห์วางไว้ดันต้องมาถูกทำลายลงเพราะฮีโร่บรายน์ แต่แน่ละฮีโร่บรายน์โกรธยิ่งกว่านั้น
“ฆ่ามัน!” จาดิสตะโกนสั่ง
พวกลูกน้องกลัว ๆ อยู่ แต่ส่วนใหญ่โห่ร้องคำรามสู้ศึกเข้ากระโจนใส่ฮีโร่บรายน์ แต่ก็โดนไฟฟ้าช็อต (แรงสูงเสียด้วย) เสียก่อน แล้วพวกที่ยังไม่ได้แตะต้องก็โดนฟ้าผ่าด้วย (ฮีโร่บรายน์เป็นผู้ครอบครองพลังสายฟ้าด้วยแฮะ)
นางแม่มดจาดิสเห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนว่า
“หนี! หนีเร็ว!“
และพวกทั้งหมดที่มาอยู่รอบโต๊ะหินก็หนีไปทันที
“อย่าหนีนะ!!!” ฮีโร่บรายน์ตะเบ็งเสียงลั่น และเขาก็กำหมัดแน่นอย่างโกรธจัดเมื่อศัตรูหายลับตาไป
“ฮึ่ย แย่จริง ๆ เลย หนีไปได้อีกแล้วเรอะเนี่ย คอยดูเถอะ ฉันจะไปตามล่าอย่างถึงลูกถึงคนให้ได้เลยทีเดียว” ฮีโร่บรายน์พูด จากนั้นก็หายไป
สักพักสาว ๆ ทั้งเก้าก็ไปหาแอสลานที่นอนไม่ไหวติงบนโต๊ะหิน นั่งก้มจูบใบหน้า ลูบไล้ขนสวยงามที่ยังเหลือติดร่างราชสีห์ ร้องไห้จนน้ำตาแทบไม่ไหล มองหน้ากัน แล้วก็ร้องไห้ต่อ จากนั้นก็สงบลงได้แล้ว
“ไม่รู้ว่าเราจะช่วยกันแกะขลุมปิดปากนี้ได้หรือเปล่า หนูทนดูไม่ได้” ลูซี่พูด
ทั้งเก้าช่วยกันดึงขลุมออกได้สำเร็จ และพอไม่มีขลุม สาว ๆ ก็ร้องไห้อีก นั่งจูบร่างและเช็ดรอยเลือดให้
พวกเธอพยายามจะใช้มือแก้มัดแต่ก็แก้ไม่ออกเพราะพวกวายร้ายแน่นสุด ๆ
เวลาผ่านไปนาน คนที่ต้องอยู่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืนและร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้ว สุดท้ายก็จะไม่ค่อยรู้สึกเหมือนเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป ไม่รู้สึกว่าอากาศเย็นลง แล้วต่อมาก็พบว่าพวกหนูเริ่มเข้ามาที่ร่างแอสลาน
ซูซานไม่ชอบหนูเลยพยายามที่จะไล่ แต่ลูซี่สังเกตว่าพวกมันมาแทะเชือกที่มัดแอสลานจนขาด พวกผู้หญิงคิดว่าพวกหนูตัวน้อยเหล่านี้ไม่รู้ว่าแอสลานตายแล้ว
พอถึงตอนเช้า ร่างของแอสลานที่นอนนิ่ง แอสลานดูสง่ายิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการฆ่าเวลา สาว ๆ จึงลงไปเดินเล่น และก็เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นด้วย พวกเธอทั้งเก้าไปชมวิวยามเช้าอันแสนสวยงาม แต่ทันใดนั้นระหว่างที่ชมวิวอยู่ก็เกิดเสียงโครมสนั่น สาว ๆ จ้องมองกันอย่างนึกกลัว แล้วก็หันไปยังโต๊ะหินที่แอสลานนอนอยู่อีกครั้ง
บัดนี้โต๊ะพังเป็นสองส่วนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจ้า แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ แอสลานหายไปจากโต๊ะ!
“ไม่นะ!” เจสซิเลียร้อง “ท่านแอสลานหายไปแล้วรึเนี่ย! ใครขโมยเขาไป!“
“นี่มันอีกหนึ่งอาถรรพ์ใช่ไหมเนี่ย!” โอลิเวียร้อง
“ใช่ มันเป็นอาถรรพ์อีกเช่นกัน” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยดังจากด้านหลังสาว ๆ
แอสลานเวอร์ชั่นขนเต็มแผงคอ (ซึ่งคงจะงอกขึ้นมาใหม่) นั่นเอง! เขาสะบัดแผงคออย่างสง่างาม
“ท่านแอสลาน!” สาว ๆ ร้อง
สาว ๆ ไปกอดจูบแอสลานกันพัลวัน
แอสลานฟื้นขึ้นมาและโต๊ะหินบูชายัญพังเป็นสองส่วน แล้วมันหมายความว่ายังไงเนี่ย
อีกหนึ่งอาถรรพ์ที่พอถึงตอนเช้า (หรือที่เรียกกันว่า อรุณรุ่งแห่งกาลเวลาน่ะ) โต๊ะบูชายัญพัง แล้วคนโดนบูชายัญจะฟื้นคืนมา มันหมายถึงอะไรน่ะรึ แอสลานมีคำตอบแล้ว
“แม้นางแม่มดจะรู้เรื่องอาถรรพ์ล้ำลึก แต่ยังมีอาถรรพ์ล้ำลึกยิ่งอีกซึ่งไม่เคยล่วงรู้ การล่วงรู้ของนางย้อนกลับไปได้เพียงรุ่งอรุณแห่งการเวลา แต่ถ้านางสามารถมอย้อนลึกไปไกลกว่านั้นอีกสักหน่อย ย้อนกลับไปยังสมัยที่ยังมืดมิดและสงบอยู่ ก่อนจะเป็นอรุณรุ่งแห่งกาลเวลา นางคงจะพบอาถรรพ์ที่แตกต่างไปอีกประการหนึ่ง เมื่อนั้นนางก็ต้องรู้ว่า หากเชลยซึ่งไม่ได้ทรยศแต่ยอมถูกฆ่าด้วยความสมัครใจแทนผู้ทรยศแล้ว โต๊ะนั้นก็จะหักออกเป็นสองส่วน และความตายก็จะย้อนกลับ”
“ถ้าเป็นอันนี้หนูไม่เรียกว่าอาถรรพ์แล้วล่ะค่ะ” เพทราพูด “น่าจะเป็นปาฏิหาริย์มากกว่านะคะ”
“ปาฏิหาริย์งั้นหรือ” แอสลานถาม “เจ้ารู้แล้วสินะว่าปาฏิหาริย์มีจริง และนี่ก็คือปาฏิหาริย์ล้ำลึกก่อนอรุณรุ่งแห่งกาลเวลา”
“ค่ะ” เจสซิเลียตอบ
“รู้สึกว่าพลังของข้ากลับคืนมาแล้ว” ราชสีห์พูด “แม่สาวน้อย ไล่จับข้าสิ ดูซิว่าเจ้าจะจับทันหรือไม่”
จากนั้นแอสลานก็เล่นวิ่งไล่จับกับสาว ๆ ทั้งเก้า โดยราชสีห์เป็นฝ่ายหนี สาว ๆ เป็นฝ่ายจับ
สาว ๆ เล่นกับราชสีห์อย่างเพลิดเพลิน และแน่นอนทั้งหมดรื่นเริงและครื้นเครงและสนุกสนานด้วย
รู้ตัวอีกทีเก้าสาวก็มานอนเล่นอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีกับแอสลานแล้ว แถมยังไม่มีความเหน็ดเหนื่อยด้วยซ้ำหลังจากวิ่งเล่นกันมานาน
“ทีนี้ลงมือทำงานกันได้แล้ว” แอสลานพูดในที่สุด “ข้ารู้สึกว่ากำลังจะคำรามออกมาแล้วสิ เจ้าเอามือปิดหูเสียก่อนดีกว่า”
ทั้งเก้าทำตาม แอสลานยืนด้วยขาคู่หลัง เขาอ้าปากคำรามด้วยสีหน้าที่น่าสะพรึงกลัวจนเด็ก ๆ ไม่กล้ามองดู และต้นไม้ใหญ่ ๆ ลู่ลำต้นอยู่ข้างหน้าราวต้นหญ้าในทุ่งลู่ไปกับลม
“เราจะเดินทางไกล” แอสลานพูด “เจ้าต้องขี่หลังข้าไปละ หวังว่าข้าคงจะมีพื้นที่พอให้พวกเจ้าขี่”
เสร็จแล้วแอสลานก็หมอบให้ทั้งเก้าขี่ ตัวก็ใหญ่พอที่จะรองรับได้ถึงสิบคนด้วย เจสซิเลียนั่งข้างหน้า ยึดขนแผงคอของเขาไว้ให้มั่น ส่วนโอลิเวีย เพทรา โซเฟีย ยินนา เรเชล ยิงซาลิน่า ซูซาน และลูซี่นั่งข้างหลังตามลำดับ เกาะเอวคนข้างหน้า
แอสลานลุกขึ้นแล้ววิ่งลงจากเนินลงไปในป่าทันที